สวัสดีค่ะ..ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบล็อก นางสาวจิระนันท์ ประพาฬ โปรแกรมวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

การดูแลรักษา Notebook

               เป็น วิธีง่ายๆที่บางคนอาจจะมองข้ามไป แต่อย่างไงซะก็ไม่ควรลืมว่าสิ่งเล็กๆนี้แหละที่มันจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ โดยถ้าเราไม่ระมัดระวังแล้วหละก็ อาจจะเกิดสิ่งที่ไม่คราดคิดตามมา วันนี้จึงมีเรื่องราวเีกี่่ยวกับการดูและรักษา Notebook


การดูแลรักษา Notebook
อย่าใช้งานนานเกินไปเนื่องจากโน้ตบุ๊คมีพื้นที่ ในการระบายความร้อนค่อนข้างจำกัด แม้ในปัจจุบันผู้ผลิตโน้ตบุ๊คจะติดตั้งระบบพัดลมระบาย ความร้อนที่มีประสิทธิภาพแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความร้อนบางส่วนสะสมอยู่ในภายในเครื่องได้ ซึ่งความร้อนเหล่านี้อาจส่งผล ให้การทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในเครื่องมีอายุการใช้งานสั้นลงได้ หากใช้โน้ตบุ๊คไประยะหนึ่ง ประมาณ 5-6 ชั่วโมง หรือรู้สึกว่าตัวเครื่องมีความร้อนสูงพอสมควรแล้ว เราก็ควรปิดเครื่องเพื่อเป็นการพักเครื่องสักระยะหนึ่งก่อนแล้วจึงเปิด ใช้งานใหม่อีกครั้ง น่าจะเป็นการใช้งานที่เหมาะสมกว่า

การ กระทบกระเทือนเป็นศัตรูตัวฉกาจของโน้ตบุ๊คเมื่อมีความจำเป็นต้องพก พาโน้ตบุ๊คไปไหนด้วย การใส่โน้ตบุ๊คไว้ในกระเป๋าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันโน้ตบุ๊คจากการ กระทบกระเทือน การกดทับก็เช่นกัน มีผู้ใช้บางรายใส่โน้ตบุ๊คไว้ในกระเป๋าเดินทาง ซี่งอาจทำให้กระเป๋าของเราถูกวางซ้อนจาก กระเป๋าใบอื่นได้ หรืออาจถูกจับโยนจนทำให้จอภาพแตกได้ หากนำไปเข้าศูนย์ แม้จะอยู่ในระยะเวลารับประกันก็ไม่สามารถเคลม ประกันได้ เพราะไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของตัวสินค้า ดังนั้นเวลาเดินทางควรเก็บโน้ตบุ๊คในกระเป๋าถือที่อยู่กับตัวตลอด เวลาดีกว่า

บำรุงรักษาจอ LCDหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วหรือ ของแข็งสัมผัสหน้าจอ เนื่องจากโครงสร้างภายในของจอ LCD ประกอบด้วยชั้นแก้วบางๆ ผลึกคริสตัลเหลว และชั้นโพลาไลซ์กรองแสง ทำให้จอ LCD เป็นจอภาพที่ค่อนข้างบอบบางต่อการกระทบกระเทือน และแรงกด จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือหรือของแข็งทำความสะอาดจอภาพอย่างถูก วิธี โดยหาซื้อน้ำยาและผ้าที่ใช้สำหรับทำความสะอาดหน้าจอโดยเฉพาะ หรือถ้าไม่อยาก เสียเงิน จะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ (เอาแค่ชื้น ๆ อย่าให้น้ำหยดเด็ดขาด) มาเช็ดทำความสะอาดหน้าจอก็ได้ โดยการเช็ด ทำความสะอาด ควรเช็ดอย่างเบามือที่สุด และเช็ดไปในทางเดียวกัน ห้ามเช็ดแบบหมุนวนเด็ดขาด เพราะอาจสร้างรอย ขีดข่วนให้กับจอภาพได้***ห้าม ฉีดน้ำหรือน้ำยาลงบนจอภาพโดยเด็ดขาด ควรฉีดน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดลงบนผ้าก่อนแล้วจึงนำไปเช็ดเพราะหยดหรือ ละอองน้ำอาจหลุดเข้าไปในช่องลำโพง คีย์บอร์ด และข้อต่อต่างๆ อันอาจส่งผลให้เครื่องเสียหายได้***

แบ็คอัพข้อมูลไว้ก่อนเนื่อง จากอาจมีความบกพร่องทางฮาร์ดแวร์ที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ และไวรัสที่อาจเข้าทำลายข้อมูล ดังนั้นการแบ็คอัพข้อมูล หรือทำการสำรองข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
ทำความสะอาจโน้ตบุ๊คอยู่เสมอเนื่องจากโน้ตบุ๊คเป็นอุปกรณ์ที่มีซอก มีมุมที่ฝุ่นผงมีโอกาสเข้าไปสะสมได้อยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแป้นคีย์บอร์ด ช่องลำโพง หรือข้อต่อต่าง ๆ เป็นต้น อุปกรณ์เสริมที่คุณควรมีก็คือ น้ำยาทำความสะอาดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แปรงเล็กๆ หรือหาเครื่อง ดูดฝุ่นขนาดเล็กสักเครื่องไว้ใช้ก็ดี

หลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกขณะ ใช้โน้ตบุ๊ค เราไม่ควรนำอาหาร น้ำดื่ม เข้ามารับประทานหรือวางใกล้โน้ตบุ๊ค ทั้งนี้เพราะความชื้นรวมถึงเศษอาหาร อาจหลุดเข้าไปทำความเสียหายให้โน้ตบุ๊คได้
ศึกษาคู่มือการใช้ งานอย่างละเอียดคู่มือการใช้งานเป็นแหล่งข้อมูลอันมีค่าสำหรับผู้ ใช้โน้ตบุ๊ค เพราะโน้ตบุ๊คแต่ละรุ่นอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราควรศึกษาคู่มือการใช้งานที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊คอย่างละเอียด

หลีกเลี่ยงแผ่นดิสก์ที่ไม่สมบูรณ์เพราะอาจทำให้ไม่สามารถนำแผ่น ดิสก์ออกจากไดรว์ไม่ได้

อย่าซนไม่ควรถอดหรือแคะแกะ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโน้ตบุ๊คโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เครื่องเสียหายและหมดประกันได้ ถ้าหากโน้ตบุ๊คมีปัญหาควรส่งศูนย์ซ่อมทันที ไม่ควรพยายามแก้ไขเครื่องด้วยตนเอง

หากมีอาการผิดปกติ ควรเข้าศูนย์ทันทีหากใช้งานโน้ตบุ๊คอยู่ดี ๆ เกิดอาการผิดปกติทางด้านฮาร์ดดิสก์ เช่น ไดรว์อ่านไม่ค่อยได้ หรืออ่านไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ไม่ได้ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านซอฟร์แวร์ หรือ ฮาร์ดแวร์ ก็ควรรีบนำเครื่องเข้าศูนย์เพื่อปรึกษาปัญหาทันที

ต่ออายุการรับประกันเมื่อหมดอายุการรับประกัน ถ้าผู้ขายโน้ตบุ๊คบางรายอาจจะให้ต่ออายุการรับประกันเพิ่มขึ้นอีก 1-3 ปี โดยต้องเสียเงินเพิ่ม อีกก้อนหนึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ต้องเสี่ยงกับเครื่องเสียเมื่อหมดระยะเวลาการรับประกัน

กฎ 23 ข้อ สำหรับคนที่ทำเว็บ


"กฎ 23 ข้อ" ทำให้เว็บน่าสนใจ

เป็นกฎง่ายๆ ที่บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทำตามได้ไม่ยาก เพื่อให้เว็บไซต์เป็นที่ดึงดูดของผู้ใช้มากที่สุด  กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III” ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มาก ที่สุด

1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค

2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ

3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ


4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา


5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้


6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร


7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่
ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก


8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ


9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ


10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า


11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว


12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด


13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก


14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค


15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก


16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ 
ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ


17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด


18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์


19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้
อ่านมากขึ้น


20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อ
หน้าย่อยๆ

21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่าง
กันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะ
ทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน


22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้

23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด

นวัตกรรมใหม่ของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ


Enhanced Stacking Technology

                     Enhanced Stacking เป็นเทคโนโลยีใหม่ของการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Switch ที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับท่านได้อย่างมากมายในการดูแลและจัดการกับอุปกรณ์เครือข่ายของท่าน ด้วยเทคโนโลยี Enhanced Stacking จะทำให้ท่านจะสามารถดูแลและจัดการกับอุปกรณ์ Switch หลายๆ ตัวของท่านอย่างง่ายดาย รวมทั้งสามารถติดตั้งอุปกรณ์ Switch ไว้ในที่ที่ต่างๆ กัน และสามารถทำการดูแลจัดการได้โดยใช้ IP Address เพียงหมายเลขเดียวเท่านั้น  เทคโนโลยี Enhanced Stacking นั้นจะต่างจากการ Stacking แบบธรรมดาทั่วไป หรือที่เราเรียกว่า Traditional Stack โดยที่ Enhanced Stacking จะมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า ท่านสามารถดูแลจัดการอุปกรณ์ Switch ได้พร้อมกันหลายๆ ตัว ด้วย IP Address เพียงหมายเลขเดียว โดยที่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องทำการติดตั้งอุปกรณ์ Switch เหล่านั้น ไว้ในสถานที่ที่อยู่ใกล้ๆ กัน อย่างเช่นติดตั้งอยู่ภายในตู้ Rack เดียวกันเหมือนการ Stack แบบธรรมดาทั่วไป แต่ด้วยเทคโนโลยี Enhanced Stacking ท่านสามารถที่จะติดตั้งอุปกรณ์ Switch เหล่านั้นไว้ต่างห้อง, ต่างชั้น หรือแม้กระทั่งต่างอาคารกันก็ตาม โดยที่ท่านยังสามารถดูแลจัดการอุปกรณ์ Switch เหล่านั้นได้พร้อมกันเหมือนกับการ Stack แบบธรรมดา


Traditional Stacking

                    เราสามารถนำเทคโนโลยี Enhanced Stacking มาใช้งานได้อย่างง่าย เพียงแค่เชื่อมต่ออุปกรณ์ Switch ที่เราต้องการจะทำ Enhanced Stacking เข้าด้วยกันทางพอร์ต Fast Ethernet 10/100Base-TX หรือจะเป็นพอร์ต Fiber Optic ก็ได้ในกรณีที่ต้องการระยะที่ไกลมากขึ้น นอกจากนั้นเรายังสามารถนำเทคโนโลยี Enhanced Stacking มาใช้ดูแลจัดการอุปกรณ์ Switch ที่ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกันโดยตรงก็ได้ แต่มีข้อแม้อยู่ว่าอุปกรณ์ Switch ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยตรงเหล่านั้น จำเป็นที่จะต้องอยู่ในระบบเครือข่ายเสมือน หรือ VLAN (Virtual LAN) เดียวกัน

ข้อแตกต่างระหว่าง Enhanced Stacking กับ Traditional Staking

                     อุปกรณ์ Switch ที่รองรับเทคโนโลยี Enhanced Stacking นั้นสามารถที่จะติดตั้งไว้ในสถานที่ที่ต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นต่างห้องกัน ต่างชั้นกัน หรือแม้กระทั่งต่างอาคารกัน โดยที่เรายังสามารถทำการดูแลจัดการอุปกรณ์ Switch เหล่านั้นได้จากที่ใดที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ Traditional Stack จะถูกจำกัดด้วยขนาดความยาวของ Stacking Cable ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาดความยาวเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น ทำให้เราจำเป็นที่จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ Switch ที่ต้องการจะทำ Traditional Stack ไว้ที่เดียวกัน อย่างเช่น ไว้ในตู้ Rack เดียวกัน เป็นต้น
อุปกรณ์ Switch ที่ใช้งานเทคโนโลยี Enhanced Stacking นั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์ Stacking Module หรือ Stacking Cable เหมือนกับการทำ Traditional Stacking ทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ค่อนข้างมากทีเดียว การทำ Traditional Stacking ของอุปกรณ์ Switch ในปัจจุบันนั้น จะจำกัดอยู่ที่อุปกรณ์ประมาณ 4 – 8 ตัวในหนึ่งกลุ่มเท่านั้น ในขณะที่เทคโนโลยี Enhanced Stacking สามารถดูแลจัดการอุปกรณ์ Switch ได้พร้อมกันมากสุดถึง 24 ตัวในกลุ่มเดียวกัน ทำให้ Enhanced Stacking มีความยืดหยุ่นในการใช้งานค่อนข้างสูง เทคโนโลยี Enhanced Stacking มีความสามารถในทำการกำหนดอุปกรณ์ Switch ตัวใดตัวหนึ่งสำหรับทำหน้าที่สำรองอุปกรณ์ Switch หลัก (Redundant Master Switches) ในกรณีที่ Switch ตัวหลัก หรือ Main Switch เกิดเสียหรือมีปัญหา เราก็ยังสามารถดูแลและจัดการอุปกรณ์ Switch ในกลุ่มเดียวกันที่เหลืออยู่นั้นโดยใช้เทคโนโลยี Enhanced Stacking ได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งจะต่างจาก Traditional Stacking ที่จะมีอุปกรณ์ Main Switch เพียงตัวเดียว และไม่มีความสามารถในการสำรองอุปกรณ์ Switch ตัวอื่นมาทำงานเป็น Main Switch แทน นั่นทำให้เมื่อใดก็ตามที่ Main Switch เกิดเสียขึ้นมา เราจะไม่สามารถทำการดูแลจัดการกับอุปกรณ์ Switch ที่เหลือในกลุ่มของ Traditional Stack เดียวกันได้เลย

                       จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี Enhanced Stacking นั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่น และช่วยให้เราสามารถดูแลและจัดการกับอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายของเราได้อย่าง สะดวกและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีระบบสำรอง หรือ Redundant ในกรณีที่อุปกรณ์ Switch ตัวหลักเกิดเสียหรือมีปัญหาขึ้นมาอีกด้วย ทำให้เราสามารถดูแลจัดการ รวมถึงการใช้งานระบบเครือข่ายของเราได้อย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยี Enhanced Stacking        ในปัจจุบันนั้นมีอุปกรณ์ Switch จากผู้ผลิตเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้น ที่สามารถรองรับเทคโนโลยี Enhanced Stacking ดังนั้นหากท่านเห็นว่าเทคโนโลยี Enhanced Stacking นั้นน่าจะเป็นประโยชน์ และมีความต้องการที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้งานกับระบบเครือข่ายของ ท่านแล้ว อยากให้ท่านตรวจสอบให้ดีก่อนว่าอุปกรณ์ Switch ยี่ห้อที่ท่านกำลังมองอยู่นั้นสามารถรองรับกับเทคโนโลยี Enhanced Stacking นี้ได้หรือไม่ด้วยนะคะ








วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ท่านรู้จักหน่วยความจำเสมือนหรือไม่



          โดยทั่วไปแล้วซอร์ฟแวร์จะใช้หน่วยความจำที่เรียกว่า RAM ในการทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าซอร์ฟแวร์ทุกตัวจะสามารถ ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือระบบจะมี RAM ให้ใช้มากพอตามความต้องการ
เมื่อท่านมีขนาดของ RAMน้อยและเมื่อระบบใช้งานจนหมดก็จะหันมานำเอา virtual memory ไปใช้เพื่อให้เพียงพอกับการทำงานของซอร์แวร์นั้นๆ ซึ่ง Virtual Memory นี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ในรูปของไฟล์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยที่แอพพลิเคชั่นและระบบจะมองเห็น Virtual memory เป็นหน่วยความจะปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะสามารถตั้งค่า ความจำเสมือน ให้มากแล้วการ ทำงานต่างๆจะเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจากการตั้งค่าให้กับความจำเสมือนต้องคำนึงถึงพื้ันที่การใช้งานของฮาร์ดดิสก์ของท่าน และระบบปฏิบัติการของท่านด้วย

อย่างเช่น
Win 98 ท่านสามารถตั้งค่าสุงสุดให้ได้ไม่เกิน 2.5 เท่าของหน่วยความจำ RAM ที่ท่านมีอยู่ แต่ถ้าเป็น Win2K หรือ Win XP ท่านสามารถตั้งค่าให้มากเท่าที่พื้นฮาร์ดดิสก์ของท่านจะอำนวย จึงเป็นการดีเมื่อท่านมีขนาด RAM น้อยแต่ท่านสามารถตั้งค่าของ ความจำเสมือนให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานของท่านได้


               Virtual memory น่าจะเรียก “หน่วยความจำสำรอง” มากกว่า เนื่องจากเวลาที่คอมพิวเตอร์ใช้หน่วยความจำหลักที่มากับเครื่อง (RAM: Random Access Memory) ไปจนเกือบหมดแล้ว ระบบปฏิบัติการก็จะใช้วิธียืมพื้นที่บางส่วนของฮาร์ดดิสก์ มาใช้แทนหน่วยความจำที่ระบบต้องการ กรณีที่คอมพิวเตอร์มีความจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำเสมือนมากๆ จะทำให้ทั้งระบบทำงานได้ช้ามาก เพราะมันต้องคอยลบ และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์แทนหน่วยความจำหลัก แถมยังมีเสียงรบกวนเนื่องจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์อีกต่างหาก

              อย่างไรก็ตาม หน่วยความจำเสมือนไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดี เนื่องจากระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่จะทำงานในระบบหลายงาน (multitasking) ซึ่งระบบจะทำงานโดยจับแอพพลิเคชันที่คุณกำลังใช้ไว้ใน RAM เพื่อให้ทำงานได้เร็ว ในขณะที่โยนแอพพลิเคชันที่คุณยังไม่ได้ใช้ขณะนั้นไว้บนฮาร์ดดิสก์ก่อนที่จะสลับมันมาลงหน่วยความจำหลัก (RAM) อีกทีหนึ่ง เมื่อคุณเรียกใช้โปรแกรมนั้นๆ ประเด็นก็คือ เมื่อคุณจำเป็นต้องรันโปรแกรมหลายตัว และต้องเรียกใช้งานกลับไปกลับมาบ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกเบื่อกับการรอคอยให้โปรแกรมแต่ละตัวสลับกันเข้าออกจากหน่วยความ


การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายแบบไร้สาย

           การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายแบบไร้สายถึงแม้ว่าการเข้ารหัสจะใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลรวมทั้งการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สาย

การเข้ารหัสข้อมูล คือการแปลข้อมูลไปเป็นเป็นรหัสเพื่อการส่งข้อมูลผ่านทางคลื่นวิทยุ การเข้ารหัสคล้ายกับรหัสผ่าน

ถ้าคุณมีความรู้เพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สายภายในบ้านคุณอาจจะพิจารณาการเข้ารหัสแบบ WEP ซึ่งสามารถทำได้ง่าย แต่ว่า มีความปลอดภัยน้อยมาก

Wireless Security : การป้องกันรหัสผ่านของคุณ
รหัสผ่านของคุณมีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยในเครือข่ายไร้สาย ไม่ควรเปิดเผยให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต ระมัดระวังการตอบผ่านอีเมลเพื่อขอรหัสผ่าน บริษัทหรือสถานที่ทำงานส่วนใหญ่จะไม่ขอรหัสผ่านทางอีเมลเนื่องจากการขาดการรักษาความปลอดภัย เคล็ดลับเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย และรวมถึงการรักษาความปลอดภัยแบบมีสาย

การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สายเป็นสิ่งสำคัญ โปรดใช้ความระมัดระวังเกี่ยวกับการอนุญาตให้ผู้อื่นให้เข้าถึง คุณยังสามารถตั้งรหัสผ่านในโฟลเดอร์เฉพาะเพื่อเพิ่มความปลอดภัยด้วย

Firewall
การเลือกไฟร์วอลล์ควรจะอยู่กับความจำเป็นของการรักษาความปลอดภัย, งบประมาณ, ความน่าเชื่อถือและมีศักยภาพในการขยายเครือข่ายไร้สาย

ไฟร์วอลล์ขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่มีความปลอดภัยน้อย เช่นเราเตอร์ที่ใช้กันตามบ้าน ไฟร์วอลระดับถัดไปที่มาพร้อมอุปกรณ์เกตเวย์ สุดท้ายในระดับสูงสุดของการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย ก็จะใช้เป็นระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งโปรแกรมเช่น Proxxy , Authentication

การเข้ารหัสลับเพื่อการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย : WEP
WEP เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสลับการรักษาความปลอดภัยที่สร้างไว้ในทุกอุปกรณ์ Wi - Fi
WEP ไม่ได้เป็นการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สายที่ดี แต่เพียงพอสำหรับการรักษาความปลอดภัยแบบไม่สำคัญมากนัก

Wireless Security : MAC filtering
อุปกรณ์ทั้งหมดในระบบเครือข่ายไร้สาย ที่มีการควบคุมการเข้าถึง MAC ก็เหมือนกับหมายเลขเฉพาะของฮาร์ดแวร์แต่ละราย

MAC filtering คือการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายจะติดต่อเฉพาะกับอุปกรณ์ที่คุณระบุ MAC filtering ไว้เท่านั้น

มันเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแบบไร้สาย เหมาะใช้ในบ้านเนื่องจากมีอุปกรณ์ไม่มากนักเพราะต้องระบุทุกอุปกรณ์ในระบบเครื่อข่าย

การรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย : Firewall
ไฟร์วอลล์ที่เป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ใช้เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกเข้าถึงเครือข่าย ไฟร์วอลล์จะเป็นส่วนสำคัญของการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สาย มันทำงานโดยการควบคุมการจราจรระหว่าง เครื่อข่ายภายใน กับการเข้าถึงจากภายนอก ถ้าคุณใช้เครือข่ายไร้สาย, คุณอาจต้องการพิจารณาใช้เราเตอร์ที่มีคุณสมบัติไฟร์วอลล์ด้วย

Wireless Security : การรักษาความปลอดภัยแล็ปท็อปของคุณ
หนึ่งในประโยชน์ของเครือข่ายไร้สายคือการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา แต่ก็ตามมาด้วยภัยของการถูกโจมตีของคอมพิวเตอร์ หากคุณต้องเดินทางและใช้คอมพิวเตอร์ของคุณอยู่ในจุดบริเวณให้บริการ hot spot คุณอาจถูกบุกรุกผ่านคอมของคุณได้ควรมีการติดตั้ง ซอฟแวร์ที่ป้องกันการบุกรุกไว้ด้วย

การใช้ ไฟร์วอลล์ มากกว่าหนึ่ง
คุณควรใช้ไฟร์วอลล์มากกว่าหนึ่งในเครือข่ายของคุณ ป็นจริงสำหรับสำนักงานและการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สาย ตัวอย่างเช่นคุณสามารถใช้เราเตอร์ไร้สายที่มีไฟร์วอลล์ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์

การรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย : การตั้งค่า รหัสผ่าน
โปรดจำไว้ว่าเครือข่ายไร้สายจะส่งข้อมูลผ่านทางคลื่นวิทยุและสามารถเข้าถึงได้ทุกคนที่มีช่วงคลื่นเดียวดัน หากคุณไม่ได้กำหนดรหัสผ่านในระบบเครือข่าย ทุกคนอยู่ในช่วงสามารถเข้าถึงเครือข่ายได้ ด้วยเหตุนี้มันเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดรหัสผ่านเพื่อปกป้องระบบและเพิ่มการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไร้สาย

การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายพื้นฐานไร้สาย
มีการรักษาความปลอดภัยหลายขั้นตอนพื้นฐาน ที่ทุกคนควรทำ อย่างไรก็ตามเพื่อให้มั่นใจว่าเครือข่ายไร้สาย เมื่อกำหนดค่าเครือข่ายของคุณแล้วควรเปลี่ยนชื่อเริ่มต้นของ SSID ไม่ให้เผยแพร์ คือการซ่อนไว้ ใช้การเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคล WEP เป็นอย่างน้อย เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ สุดท้ายให้ตรวจสอบการซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและซอฟต์แวร์ป้องกันสปายแวร์ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง

การเลือกรหัสผ่านที่ดีสำหรับการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย
เคล็ดลับในการเลือกรหัสผ่านที่ดีสำหรับการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย อย่าใช้ชื่อชื่อย่อของคุณหรือชื่อที่ง่ายต่อการคาดเดา ตัวเลข

เช่น ที่อยู่ วันเกิด รหัสผ่านควรมีอย่างน้อยแปดตัวและมีทั้งตัวเลขและตัวอักษร และจำไว้ว่าไม่ว่าไม่ควรเขียนมันไว้ที่ง่ายต่อการสังเกตุ

การเข้ารหัสลับการรักษาความปลอดภัยแบบไร้สาย : WPA , WPA2
เป็นรุ่นอัพเกรดของ WEP ใช้โปรโตคอลที่ใหม่กว่าและมีความปลอดภัยมากขึ้น และถ้าคุณใช้รหัสผ่านที่ดีมาก ก็ยากขึ้นจะแจะเข้าได้ ซึ่ง WPA2 นั้นเป็นตัวเลือกที่แนะนำให้ใช้ในการเข้ารหัส แต่ถึงยังไงก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางที่ดี ใช้สายดีที่สุด.....

วิธีการเลือกซื้อ Android Smartphone




            วิธีการเลือกซื้อ Android Smartphone เครื่องแบบไหนถูกใจใช่เลย??

จะซื้อเครื่อง Smartphone ตัวใหม่งั้นรึ?? ตัดสินใจกันไม่ถูกล่ะสิ ว่าจะเลือกตัวไหนมาใช้ดี จะหันมาใช้ Android ก็มีตัวเลือกหลากหลายเหลือเกิน เลือกไม่ได้ บอกไม่ถูก ตัวนั้นก็แรง ตัวนี้ก็สวย จะเลือก Smartphone ตัวใหม่ทั้งที ก็ต้องเลือกตัวที่พร้อมใช้งานสำหรับเราใช่มั้ยล่ะ วันนี้เราจึงมาดูวิธีการเลือกซื้อ Smartphone คู่ใจตัวใหม่ของเรากัน จุดสำคัญที่สุดในการเลือก Smartphone ตัวใหม่สำหรับเราก็คือ ต้องดูให้ออกว่า ความสามารถของ Smartphone แต่ละตัวนั้นเป็นอย่างไร จุดเด่นจุดด้อยของมันมีอะไรบ้าง และมีความสามารถที่เราต้องการใช้งานครบถ้วนด้วยหรือไม่?? ว่าแล้วเราก็มาเริ่มดูวิธีการเลือก Android ตัวใหม่ของเรากันเลยดีกว่า

1. เครื่องที่ใหม่ที่สุดไม่ใช่เครื่องที่ดีที่สุดเสมอไป
บางครั้งการที่เราซื้อเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกใหม่แบบสดๆ ร้อน จะทำให้เราสามารถเอาไปอวดเพื่อนๆ ให้ดูเท่กว่าใครได้ก็จริง แต่เท่แล้วไงล่ะ เท่ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดูดีขึ้นซักหน่อย สู้รอเครื่องรุ่นใหม่ออกไปได้ซัก 2-3 เดือน (หรืออาจจะ 4 เดือน) เพื่อรอดู Feedback ของเครื่องตัวนั้น หรือโปรโมชั่นใหม่ๆ ที่จะออกมาล่อใจเรากันดีกว่า ไม่แน่ราคาก็อาจจะต่ำลงด้วย แล้วเราก็จะได้ของดีราคาถูกกว่ามาใช้งานปกติ Smartphone ตัว Top ของแต่ละยี่ห้อจะมีกำหนดออกมาประมาณปีละ 1-2 ตัว หากตัวใหม่มา ราคาของตัวเก่าก็จะตกไปเป็นเรื่องปกติ

2. จะซื้อทั้งที ลองเครื่องให้เรียบร้อยว่ามันเหมาะกับเราหรือไม่ และตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนซื้อ
หากซื้อเครื่องไปแล้วทางผู้ผลิตออกมาประกาศว่าจะเลิก Support สำหรับการ Update เป็น Android Version ใหม่ไปซะล่ะ เราคงจะแค้นกันน่าดูเลย เพื่อไม่ให้เป็นการผิดพลาด หลังจากไปลูบๆ คลำๆ ลองเครื่องเรียบร้อยแล้ว ดูตำแหน่งการจัดวางปุ่ม และขนาดของเครื่องว่าถนัดมือเราหรือไม่ ใส่ในกระเป๋ากางเกงตัวโปรดของเราแล้วไม่รู้สึกเกะกะหรือหนักกระเป๋า และตัดสินใจได้แล้วว่าเจ้า Android ตัวนั้นแหละ จะอยู่เป็นคู่ชีวิตเราไปอีกนาน ก็อย่าลืมตรวจเช็คดูด้วยล่ะว่าค่ายผู้ผลิตเค้าจะสนับสนุนเจ้าว่าที่ Smartphone ตัวใหม่ของเราได้มากแค่ไหน แล้วจึงค่อยตัดสินใจซื้อ

3. ลองสัมผัสกับหน้าจอผู้ใช้งาน (UI) ก่อนตัดสินใจซื้อด้วย
หน้าจอผู้ใช้งานนี่แหละ 1 ในหัวใจหลักที่เราต้องปะทะกับมันทุกๆ วันเลย หลังจากเปิดเครื่องมา และปลดล็อคเครื่องแล้ว เราก็ต้องเจอกับเจ้าหน้านี้นี่แหละเป็นหน้าแรก ถ้าหากมันอืดเกินไป ไม่ทันใจ ระวังจะหงุดหงิดจนอยากปาเครื่องทิ้งไปซะล่ะ หากดูในตลาดตอนนี้ HTC ก็มี Sense Samsung ก็มี Touchwiz Sony Ericsson ก็มี Timescape ฯลฯ แต่ละตัวก็มีลูกเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ดูๆ เอาไว้ UI ตัวไหนที่เราคิดว่าเหมาะกับเราที่สุดก็เลือกใช้ตัวนั้นได้เลย หรือหากว่าชอบเครื่องแต่ไม่ชอบ UI ก็อาจจะไปเลือกใช้วิธีเปลี่ยน UI ไปใช้ตัวที่เป็น Custom สำหรับให้เราลงเองก็ได้นะ ไม่มีปัญหา

4. ดูขนาดความจุของแบตเตอรี่ไว้ด้วย
ต่อให้ Specs เทพแค่ไหน แต่ถ้าให้แบตเตอรี่มาน้อย ใช้ๆ งานไปซักพักแบตเตอรี่ก็จะหมด และเจ้า Android ก็จะกลายเป็นที่ทับกระดาษดีๆ ราคาแพงนั่นเอง คิดดูสิ เราซื้อ Smartphone Specs แรงมาเพื่อจะเล่นเกมกันนะ และคงไม่ได้คิดจะเล่นเบาๆ กันแน่ๆ และหากแบตเตอรี่มีให้น้อย ไม่คิดเหรอว่าเล่นเกมไปซักพักแบตเตอรี่ก็จะไม่เหลือแน่นอน อย่างน้อยตอนนี้สำหรับ Smartphone ต้องมีแบตเตอรี่ให้อย่างน้อย 1400 mAh กันแล้วล่ะ ยิ่งให้ได้ถึง 2000 mAh ได้ยิ่งดีเลย

5. เลือกแบบและขนาดหน้าจอที่ดูแล้วสบายตาที่สุด
หน้าจอของ Android Smartphone เป็นอะไรที่มีแบบให้เลือกมากที่สุด ทั้งหน้าจอที่มีหลายขนาด และวัสดุที่นำมาใช้ทำหน้าจอที่เยอะจนจำไม่ไหว ขนาดหน้าจอของ Android Smartphone มีตั้งแต่ 2 นิ้วกว่าๆ ยันเกือบๆ 5 นิ้ว ขนาดที่ฮิตตอนนี้ที่สุดก็น่าจะเป็นขนาด 3.5 และ 4 นิ้ว ส่วนในรุ่นใหม่ๆ ก็มี 4.3 นิ้วออกมากันหลายรุ่นเลย ส่วนหน้าจอในตอนนี้ก็สามารถรองรับได้ถึง 16ล้านสี ส่วนหน้าจอนั้นก็มีให้เลือกหลากหลายทั้ง Amoled จอสุดฮิตใน Android รุ่นเก่าหลายๆ ตัว Super Clear LCD ที่สู้แสงได้ดีและมีความสว่างในตัว NOVA Desplay ที่สว่างยิ่งกว่าใครๆ แถมยังประหยัดพลังงานอีก หรือว่า Super Amoled ที่มีความคมชัดอยู่ในตัวสูง ฯลฯ และถ้าให้ดีควรจะมี Gorilla Glass ที่มีความยืดหยุ่นสูงในตัวด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยลดความเสียหายเวลาที่จอของ Smartphone ไปกระแทกกับอะไรเข้า

6. ตัวเลขของความละเอียดกล้อง (MPixel) หากสูงก็ไม่ได้แปลว่ากล้องดีเสมอไป
ถึงแม้ว่ากล้องจะความละเอียดสูง และสามารถถ่ายรูปคุณภาพระดับ HD ได้แล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขแหละนะ ไม่ได้ช่วยบอกว่ากล้องดีเลยเท่าไหร่ จุดสำคัญมันอยู่ที่ตอนถ่าย ว่าภาพที่ได้มานั้นออกมาดีแค่ไหน จะ Test ว่ากล้องดีไม่ดี หากมีโอกาสให้ลองทดสอบถ่ายรูปดูในสภาพที่แสงน้อยมากๆ ครับ ในสภาวะแสงน้อย รูปจากกล้องจะถูกปรับสภาพให้เหมาะกับสภาพแสงในขณะนั้น และสิ่งที่เราจะได้เห็นก็คือ Noise ในรูปที่ถ่าย และ Speed Shutter ที่สามารถบ่งบอกคุณภาพของกล้องได้ดีเลยทีเดียว หากกล้องทำงานได้ช้า แสงที่ถูกรวบรวมเข้ามาในเลนส์ขณะถ่ายรูปจะทับซ้อนกันหลายๆ รอบ จนทำให้รูปเบลอไป และรูปที่ออกมาก็จะไม่สวยนั่นเอง

7. พยายามซื้อเครื่องที่สามารถใช้ Android Version ล่าสุดได้แล้ว
ถ้าหากเราซื้อเครื่องที่ยังไม่ได้ใช้ Android Version ล่าสุดมาใช้ล่ะก็ เราอาจจะยังต้องไปนั่งลุ้นตัวโก่งกันอยู่ ว่าเราจะได้ใช้ Android ตัวใหม่กันเมื่อไหร่นะ (เหมือนที่หลายๆ คนเป็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละ) Android Version ใหม่จะออกมาเมื่อไหร่ มันก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ผลิตซะด้วยสิ รู้สึกเหมือนชีวิตไปอยู่ในกำมือคนอื่นจริงๆ อึดอัดมั้ยล่ะ?? เพื่อที่จะไม่ต้องไปนั่งลุ้นพร้อมกับคนอื่น หากจะซื้อเครื่องใหม่จริงๆ ก็เลือกซื้อเครื่องที่ใช้ Android ตัวใหม่ไปเลยดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะได้ใช้ Android ตัวใหม่หรือไม่ จนกว่า Android ตัวใหม่กว่าจะออกโน่นแหละ ได้ใช้ฟังก์ชั่นใหม่ก่อนใครดีออกเนอะ

8.เลือกค่ายที่มั่นใจว่าจะ Update ตัว Android ให้อย่างสม่ำเสมอ
หากเทียบกันดูตอนนี้แล้วล่ะก็ ดูเหมือนค่ายที่คงเส้นคงวา Update ตัว Version ของ Android ใน Smartphone ทุกรุ่นของตัวเองมากที่สุดคงต้องยกให้ HTC เค้าเลยล่ะ ถึงแม้ว่าเครื่องจะออกใหม่เร็วจนราคาตกไวบ่อยๆ แต่เราก็ยังมั่นใจได้ว่าเจ้า Smartphone ยี่ห้อนี้จะไม่ตกเทรนด์ตามราคาไปด้วย ค่ายอื่นๆ ที่ Update เร็วรองลงมาก็มี Samsung ส่วนค่ายอื่นๆ นั้นคงต้องปรับจูนกันอีกซักพัก กว่าจะปรับตัวเข้ากับการเติบโตของ Android ได้คงต้องรอซักพักกันหน่อยล่ะ

9. ไม่ต้องไปสนใจ Option เสริมให้มากนัก ให้สนใจเท่าที่เราจะได้ใช้ก็พอแล้ว
ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใช้พวกอุปกรณ์เสริมเลยนะ แต่ถ้าหากเราคิดว่าไม่ค่อยได้ใช้เลยก็อย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า เดี๋ยวพอซื้อมาแล้วจะรู้สึกว่าเสียดาย จะซื้อมาทำไมหว่าซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ อย่างเช่น ฐานตั้งเครื่อง เชื่อมั้ยล่ะว่าถึงจะซื้อเครื่องที่มีฐานตั้งมาก็ตาม แต่เห่อได้ซักพักเราก็เอาเครื่องวางนอนกับโต๊ะหรือเตียงเหมือนเดิม มันวางง่ายกว่าเยอะ หรือจะ Port HDMI เชื่อเถอะว่าโอกาสที่จะได้ใช้มันน่ะน้อยมาก จะมี Port นี้หรือไม่มีก็ไม่น่าเสียหายอะไร ดีไม่ดี หากซื้อเครื่องที่ไม่มี Port นี้ อาจจะได้ราคาที่ถูกลงอีกเยอะ เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกซื้อเลยดีกว่า เอาที่จำเป็นก็พอแล้ว

10. ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาหรอกเครื่องที่มี Keyboard
Android มี Keyboard แบบ Touchscreen ที่ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่แล้ว หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้หรอก เครื่องที่มีปุ่ม Keyboard มาให้ด้วย ยกเว้นแต่ว่าคุณอาจจะชอบสัมผัสกับปุ่มแข็งๆ บนตัวเครื่องมากกว่าบน Touchscreen แล้วล่ะก็ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

11.เลือกเครื่องระบบ GSM ถ้าหากเราเป็นคนชอบเที่ยวมากๆ
เครือข่ายโทรศัพท์ในแต่ละประเทศทั่วโลก ยังใช้ระบบ GSM อยู่ หากเราจะซื้อเครื่องใหม่จริงๆ ก็ควรจะเลือกซื้อเครื่องที่เป็นระบบ GSM ก็จะดีกว่า เพราะเรายังสามารถจะนำเจ้า Android ไปใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้อีกด้วย แต่ก็ระวังไว้ด้วยล่ะว่ามีบางประเทศอย่างเกาหลีใต้ ที่เค้าไม่ได้ใช้ระบบ GSM แล้ว อย่าไปซื้อโทรศัพท์จากประเทศเค้ามาเชียว เพราะเค้าใช้ระบบ CDMA กันแล้ว จะซื้อเครื่องมาก็เอามาใช้ในไทยไม่ได้หรอก ก่อนจะซื้อเครื่องก็ศึกษาข้อมูลดูก่อนดีๆ ละ

12. ดูให้ดีด้วยว่าเครื่องที่จะซื้อรองรับ 3G ความถี่เดียวกับเครือข่ายที่เราใช้หรือไม่
จะเอาไว้เลยนะว่า AIS ใช้ความถี่ 900 MHz True Move กับ DTAC ใช้ความถี่ 850 MHz และ TOT ใช้ความถี่ 2100 MHz สำหรับความถี่ 2100 MHz ไม่น่ามีปัญหา เพราะเครื่อง Smartphone ส่วนใหญ่รองรับอยู่แล้ว แต่ความถี่ 850 MHz และ 900 MHz นี่ต้องเช็คเครื่องดูดีๆ ก่อนซื้อล่ะ ขืนซื้อเครื่องที่ไม่รองรับมา ใช้ 3G ไม่ได้แล้วจะเสียใจนะ

13. ถ้าคิดว่าต้องลง Apps เยอะๆ เลือกเครื่องที่ให้พื้นที่ในตัวเครื่องมากกว่า 1 GB เลยดีกว่า
เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากเวลาที่ซื้อเครื่องมา แต่พื้นที่ที่ให้ดันมีน้อย ลง Apps ไปไม่กี่ตัวพื้นที่ก็เต็มซะแล้ว ต้องไม่ไล่ลบ Apps เพื่อเคลียร์พื้นที่เวลาอยากลง Apps ใหม่อีก ตัดปัญหานี้ไปเลยครับ กะพื้นที่เผื่อไว้ว่าเราจะลง Apps ไว้เท่าไหร่ แต่ก็อย่าลง Apps เยอะเกินไปล่ะ ไม่งั้นเครื่องอืดเป็นเต่าแน่ สำหรับคนที่ใช้แต่ Apps เล็กๆ ใช้งานทั่วไป ไม่มีอะไรมากพื้นที่ 512 MB ก็อาจจะพอ แต่อย่าลืมซะล่ะว่าพื้นที่ที่ให้มานี้ ยังต้องตัดออกบางส่วนไปใช้สำหรับลงตัวระบบปฏิบัติการด้วย อย่าง UI ของ HTC ยังใช้พื้นที่ตั้ง 300 กว่า MB เลย คิดดูสิว่าพื้นที่จริงจะเหลือให้เท่าไหร่เชียวยิ่งใครที่ชอบเล่นเกมล่ะก็ ยิ่งต้องการพื้นที่เยอะๆ เลยล่ะครับ เพราะว่าเกมใหญ่ๆ แต่ละเกมใช้พื้นที่เยอะมาก ถึงแม้จะย้ายไปลงใน SD Card ได้ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังต้องลงในตัวเครื่องอยู่ดี สำหรับคอเกมต้องจัดไปเลยครับ พื้นที่ 1-2 GB ขึ้นไป (บางคนอาจจะยังไม่พอใช้ด้วยซ้ำนะ)

14. CPU ที่เร็วกว่าก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป
CPU แรงๆ จะมีผลต่อการประมวลผลของเครื่องเท่านั้น แต่หาก CPU ดี แต่ UI ทำมาไม่ดี ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี การแสดงผลที่ได้ก็ยังอาจจะกระตุกจนเสียอารมณ์ได้ ดีไม่ดี บางเจ้าทำเครื่องออกมา Specs ห่วยกว่า แต่เครื่องอาจจะเร็วกว่าก็มีนะส่วนใครน่ะเหรอที่ควรใช้เครื่อง CPU แรงๆ ก็พวกคนที่ชอบถ่ายวีดีโอ หรือชอบเล่นเกมแรงๆ นั่นไง พวกนั้นถึงจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ ส่วนคนธรรมดา ขอเครื่อง Android ซักตัวที่ทำงานได้เร็วๆ ไม่มีอืด แค่นั้นก็คงพอแล้ว

15. ดูด้วยว่าเครื่องสนับสนุนการ Root มั้ย??
การ Root จะช่วยทำให้เราสามารถดึงเอาประสิทธิภาพสูงสุดของตัว Android ออกมาได้ ถ้าหากเราคิดจะ Root เครื่องล่ะก็ ดูให้ดีๆ ด้วยล่ะว่าเครื่องไหน Root ได้บ้าง จนถึงตอนนี้ยังมี Smartphone บางยี่ห้อที่ยังไม่สนับสนุนการ Root อยู่ หา่กคิดจะ Root อยู่ล่ะก็ ตรวจสอบข้อมูลดูดีๆ ก่อนล่ะ

16. ออกจากบ้านไป แล้วลอง Test เครื่องซะก่อนจะซื้อ
คงไม่มีใครบ้า นั่งมองแคตตาล็อค กับดูรีวิว แล้วรู้ว่าตัวเองถูกชะตากับ Smartphone ตัวไหน แล้วเดินไปร้าน ไปซื้อเครื่องมาโดยไม่ได้ลองเครื่องด้วยตัวเองก่อนล่ะ นั่นมันไม่ถูกต้อง!! จะซื้อก็ต้องลองเครื่องด้วย และตรวจสอบสภาพเครื่องด้วยว่ามีรอยขีดข่วนหรือเจอปัญหาอะไรมั้ย และหากมีคนขายหรือเพื่อนที่ให้เรายืมเครื่องมาลองเล่นก่อนได้ ก็ลองยืมมาเล่นก่อนซะ จะได้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบกันแน่

17. ดูกระแสตอบรับจากผู้ใช้คนอื่นว่าเครื่องดีจริงหรือไม่
Smartphone บางตัว Specs ทุกอย่างอาจจะออกมาเลิศเลอเพอร์เฟ็ค แต่เอาเข้าจริงกลับมีปัญหาโน่นปัญหานี่มากมาย หากเราไปซื้อเครื่องมาโดยไม่ศึกษาข้อมูลก่อนจะซื้อล่ะก็ เราก็จะตกเป็นผู้โชคร้ายได้เป็นหนูลองยาให้คนอื่นก่อน จากนั้้นเราก็อาจจะไปบ่นตามเว็บไซต์ต่างๆ ว่าเครื่องนั้นมีปัญหาอะไร ไม่ดีตรงไหน และคนอื่นที่กำลังตัดสินใจจะซื้อเครื่องใหม่ก็จะเข้ามาศึกษาข้อมูล และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจด้วยนั่นเองเรามาเป็นคนศึกษาข้อมูลก่อนซื้อเครื่องดีกว่าครับ ขืนไปซื้อเครื่องก่อนใครแล้วเครื่องออกมามีปัญหาเยอะ ก็อาจจะต้องเสียเวลารอทางผู้ผลิตแก้ปัญหาอีก เสียอารมณ์ไปเปล่าๆ


F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง




                  คีย์ที่กล่าวมาส่วนมากเราจะเรียนกมันว่า "ฟังก์ชันคีย์" F1 ถึง F12 อาจมีความหลากหลายของการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการของแต่ละคีย์เหล่านี้   ยังรวมถึงการใช้งานฟังก์ชันคีย์รวมดับคีย์ ALT หรือ CTRL เช่นผู้ใช้ Microsoft Windows สามารถกด ALT + F4 เพื่อปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่  ด้านล่างเป็นรายการบางส่วนของการทำงานของคีย์ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แต่จะไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่สนับสนุนฟังก์ชันคีย์


F1
มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอป้อนการตั้งค่า CMOSWindows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windowsเปิดบานหน้าต่างงาน

F2ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไอคอนหรือไฟล์Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word .Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Wordเข้าสู่การป้อนการตั้งค่า CMOS หรือ Bios

F3เปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windowsใน MS - DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้ายShift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word

F4เปิดพบหน้าต่างทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( Word 2000 ขึ้นไป )Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft WindowsCtrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows

F5ในทุกเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต F5 จะรีเฟรชหรือโหลดหน้าเว็บหรือหน้าต่างเอกสารเปิดหน้าค้นหา แทนที่ และไปที่หน้าต่างใน Microsoft Wordเริ่มสไลด์โชว์ใน PowerPoint

F6ย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ Address bar ใน Internet Explorerและ Mozilla Firefox .Ctrl + Shift + F6 เปิดไปยังเอกสารอื่น ๆ ใน Microsoft Word
F7ปกติจะใช้เพื่อตรวจสอบการสะกดและไวยากรณ์ตรวจสอบเอกสารในโปรแกรม Microsoft เช่น Microsoft Word, Outlook, ฯลฯShift + F7 ทำงานตรวจสอบบนคำที่ไฮไลต์เปิดการใช้งานเลือนหน้าต่างด้วยปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ดใน Mozilla Firefox

F8แป้นฟังก์ชันที่ใช้ในการเข้าสู่เมนูเริ่มต้น Windows, นิยมใช้ในการเข้าถึง Windows แบบ Safe Mode .

F9เปิดแถบเครื่องมือวัดใน Quark 5.0

F10ใน Microsoft Windows เปิดใช้งานแถบเมนูของโปรแกรมที่เปิดอยู่Shift + F10 เป็นเช่นเดียวกับการคลิกขวาบนไอคอนที่ไฮไลต์ไฟล์หรือการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตการเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ ของ HP และ Sony คอมพิวเตอร์ป้อนการตั้งค่า CMOS .

F11โหมดเต็มหน้าจอในเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตCTRL + F11 การเข้าถึง การกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ Dellการเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่บน eMachines, Gateway, และคอมพิวเตอร์ Lenovo

F12เปิดหน้าที่ทำการบันทึกใน Microsoft WordSHIFT + F12 บันทึกเอกสาร Microsoft WordCtrl + Shift + F12 พิมพ์เอกสารใน Microsoft Word

สิ่งดีๆ ที่คุณจะพบใน Windows 8



1.การบูตเครื่องได้เร็วมาก
เมื่อเทียบกับวินโดวส์อื่นๆ เพียงไม่กี่วินาทีคุณก็สามารถใช้งานวินโดวส์ได้แล้ว

2.อินเตอร์เฟสใหม่ที่แปลกตา
หน้าแรกของการใช้งานคุณจะเจอ แอพพลิเคชันหรือโปรแกรมที่ใช้งานมารวมอยู่หน้าเดียวกันที่หน้า Start แบบ Modern Style สะดวกในการใช้งาน อาทิเช่น แอพพลิเคชันของอีเมล, รูปภาพ, ข่าว, ปฏิทิน, พยากรณ์อากาศและอื่น ๆ อีกมาก ทั้งนี้ยังแสดงเป็นแบบอัพเดทตลอดเวลา ซึ่งทำให้คุณทราบข่าวสารอยู่ตลอดเวลา

3.ระบบค้นหายอดเยี่ยม
Windows 8 มีฟังก์ชันการค้นหาสิ่งต่าง ๆ โดยแบบเป็นหมวดหมู่ Application, Settings, File และในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยค้นหาผ่านหน้า Start ได้ทันที่เพียงแค่พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไปซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ทั้งคำ วินโดวส์จะทำการแสดงทุกอย่างที่ตรงกับคำค้นหาขึ้นมาทันที

4.เชื่อมต่อข้อมูลกันได้หมด
ไม่ว่าคุณจะมีคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต สักกี่เครื่อง คุณก็สามารถตั้งค่าต่างๆ ให้อุปกรณ์ดังกล่าวที่ใช้ Windows 8 เชื่อมต่อข้อมูลกัน โดยข้อมูลเกือบทั้งหมดจากทุกเครื่องจะเหมือนกันไม่ว่าเครื่องนั้นจะอยู่ที่จุดใดของโลกใบนี้ ขอเพียงให้มีอินเตอร์เน็ตใช้ ด้วยฟังก์ชั่น Sync ผ่านแอคเคาท์ของไมโครซอฟท์

5. แชร์ข้อมูล
แชร์ (Share) ฟังก์ชันเหมาะสมมาก สำหรับคนที่ชอบโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไมโครซอฟท์ออกแบบให้ Windows 8สามารถเลือกแชร์สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูล, รูปภาพ, หน้าเว็บไซต์, เพลง, ภาพยนตร์ และอื่นๆ สำหรับวิธีแชร์นั้นก็ง่ายมาก เพียงแค่เลือกปุ่ม Share ใน Charms Bar เท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ไปยังแอพพลิเคชัน อื่น ๆ ได้อีกด้วย อาทิเช่น แชร์ลิงก์หน้าเว็บไปยังคลิปบอร์ดหรือ Notepad หรือแชร์รูปภาพไปยังโปรแกรมแต่งภาพ เป็นต้น

6.เปิดอินเตอร์เน็ตได้รวดเร็ว
ถ้าคุณใช้เบราว์เซอร์ Internet Explorer 10 คุณจะต้องประหลาดใจว่า IE10 เปิดเว็บได้รวดเร็วกว่า IE รุ่นก่อนมากนัก เร็วจนเบราว์เซอร์อื่นๆ ต้องหันมามองแล้วล่ะว่า จะพัฒนาเบราว์เซอร์ของตัวเองให้เร็วขึ้นเพื่อหนี IE 10 ได้อย่างไร

7.การรีเฟรชและรีเซตระบบ
Windows 8 นี้ มีฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขระบบได้เมื่อระบบมีปัญหาจนไม่สามารถแก้ได้แบบปกติ ฟีเจอร์รีเฟรช (Refresh) หรือรีเซต (Reset) ของ Windows 8 ช่วยคุณแก้ไขได้ง่ายโดยใช้เวลาไม่ได้นาน
การรีเฟรซ – คือการล้างระบบใหม่เพื่อให้กับเครื่องที่ใช้ไปนานๆ แล้วรู้สึกว่าเครื่องทำงานช้าหรือมีปัญหานั้น ให้สามารถกลับมาทำงานได้ดีขึ้นโดยการรีเฟรชนี้จะไม่ทำให้ ไฟล์, การปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalization Settings) และแอพพลิเคชันหายไป
การรีเซต – จะลบทุกอย่างในเครื่องออกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไฟล์, แอพพลิเคชัน แอคเคาท์ต่าง ๆ ของคุณ พูดง่ายๆ คือเครื่องจะกลับม้เหมือนตอนติดตั้งวินโดวส์ครั้งแรก
ฟีเจอร์ทั้งสองคุณสามารถเข้าได้ที่เมนู Charms Bar เลือก Settings > Change PC Settings > General

8. Task Manager
Windows 8 ปรับปรุง Task Manager ให้ดูสวยงามขึ้น ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม การแสดงแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ Apps, Background Processes และ Windows Processes และมีรายละเอียดการใช้ทรัพยากรเครื่องของแต่ละแอพพลิเคชันให้ดูว่าใช้ CPU, Ram, Bandwidth เท่าไหร่ในแบบ Real Time พร้อมทั้งยังมีการแสดงในรูปแบบกราฟ และบันทึกการใช้ทรัพยากรในแต่ละช่วงเวลาให้ดูย้อนหลังได้ นอกจากนี้ ทั้งนี้ยังสามารถตั้งค่าให้แอพพลิเคชัน เริ่มทำงานหรือไม่ทำงานทันทีที่เปิดเครื่องได้

9.หน้าต่างก็อปปี้ไฟล์
Windows 8 มีการก็อปปี้ไฟล์แบบใหม่ทั้งหน้าตาและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดย
เมื่อเจอไฟล์ชื่อซ้ำกันและแสดงหน้าต่างถามก่อนว่าต้องการทำอะไรกับมัน ทำให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับไฟล์
ปรับความเร็วในการก็อปปี้ได้ตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่น คุณกำลังก็อปปี้ไฟล์ผ่านระบบเครือข่ายไร้สายอยู่แต่มาเสียบสายแลนในเวลาต่อมาระบบจะรับรู้แล้วปรับตัวเองให้ทำงานเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ
ถ้าไฟล์ให้มากจนเครื่องเข้าโหมด Sleep หรือ Hibernate ระบบจะหยุดการก็อปปี้ไฟล์ และเมื่อตื่นขึ้นมาจะถามว่าต้องการ Resume ต่อหรือไม่
ถ้ามีปัญหา error ขณะก็อปปี้ไฟล์ระบบจะถามก่อนเริ่มก็อปปี้ในกรณีพบก่อน หรือแจ้งเตือนปัญหาหลังก็อปปี้เสร็จในกรณีพบระหว่างทาง ช่วยทำให้งานไม่หยุดชะงักและคุณไม่ต้องเฝ้าหน้าเครื่องตลอดเวลาที่ก็อปปี้ไฟล์

10. ริบบอนเมนูของ Windows Explorer
Windows Explorer ของ Windows 8 จะมีเมนูแบบ Ribbon ที่เหมือนกับ Microsoft Office 2010 ทำให้ใช้งานได้สะดวกและหลากหลายขึ้น โดย
Windows Explorer แสดงผลได้ทั้งแบบเต็มแบบย่อ (minimize) ซึ่งเป็นดีฟอลต์เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มพื้นที่ของหน้าต่าง Explorer
ที่ปุ่มของริบบอนจะมี Tooltip ของปุ่มจะแสดงรายระเอียดว่าใช้ทำอะไร
ค่าต่างๆ ที่คุณตั้งไว้ใน Explorer สามารถบันทึกไว้ในแอคเคาท์คุณได้ และสามารถนำไปใช้ซิงค์กับเครื่องอื่นโดยอัตโนมัติ



                                          

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

6 เรื่องน่ารู้ Google Glass



ถ้าคุณกำลังสนใจ Google Glass อยู่ นี่คือรายละเอียดที่ควรรู้
               Google Glass ก็คือแว่นตาไฮเทคที่มีกระจกเป็นหน้าจอและสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ ฟีเจอร์เบื้องต้นที่เรารู้ว่า Google Glass ทำได้ก็มีถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ, ค้นหาเว็บ, ใช้งาน Google Now, แชทผ่านวิดีโอ, แปลภาษา, บอกเส้นทางและส่งข้อความ นอกจากนี้ยังมีแอพจาก Third-party ที่ช่วยเสริมศักยภาพของมันให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น หลายคนคงจะได้เห็นแว่นเวอร์ชั่น "Explorer" ที่เตรียมจะส่งให้ลูกค้ากลุ่มแรกในต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว รวมถึงสเปค,ไกด์ไลน์สำหรับนักพัฒนาและคำถามที่ถูกถามบ่อยในเว็บของ Google Glass และด้านล่างนี่คือข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุด:
สเปคพอใช้

                  ชิ้นส่วนภายในที่ใช้ผลิต Google Glass ก็คล้ายกับชิ้นส่วนในสมาร์ทโฟนระดับกลางๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องซีพียูว่าใช้ของใคร ข้อมูลที่ออกมามีแค่กล้อง 5 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดโอที่, 720p มีพื้นที่เก็บข้อมูล 16 GB (ที่ว่างที่ใช้งานได้มี 12 GB ) ส่วนแบตเตอรี่บอกแค่ว่าใช้งานแบบปกติได้หนึ่งวันเต็มๆ จะใช้งานได้สั้นกว่านี้ถ้าใช้บันทึกวิดีโอหรือแชทผ่านวิดีโอ ส่วนหน้าจอเทียบเท่ากับมีจอ HD ขนาด 25 นิ้ววางอยู่ด้านหน้าห่างไป 2.4 เมตร ฮาร์ดแวร์อีกตัวที่น่าสนใจก็คือ bone conduction transducer ที่ส่งเสียงด้วยการสั่นไปยังหูชั้นในได้โดยตรงเลย
ใช้งานให้เหมาะ

                    หลายคนเป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวเพราะการสวมแว่นที่ศีรษะตลอดเวลาจะทำให้ถ่ายรูปตอนไหนก็ได้ที่อยากถ่าย ซึ่งบางที่ก็ห้ามถ่ายรูปหรือใครจะเอาไปใช้เป็นอุปกรณ์แอบถ่ายก็ได้ ซึ่งทางกูเกิลก็ออกมาเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเป็นจิตสำนึกและกาละเทศะของผู้ใช้
สวมไม่ขับ

                    ตอนนี้กฎหมายใน West Virginia ก็ออกมาแบนการใช้ Google Glass ขณะขับรถแล้ว แต่รัฐอื่นๆ ยังไม่มีการห้าม ดังนั้นกูเกิลก็เลยเตือนผู้ใช้ให้ศึกษากฎหมายของแต่ละที่ให้ดีๆ ว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง รวมถึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ยังไม่มีโฆษณาโผล่มาตรงหน้า

                    กูเกิลพยายามอย่างมากในการผลักดันให้คนมาพัฒนาแอพ แต่ตอนนี้ทางกูเกิลยังไม่อนุญาตให้นักพัฒนาหาเงินจากผู้ใช้ ซึ่งแอพแรกๆ บน Google Glass จะโหลดฟรีและไม่มีโฆษณา แต่ในอนาคตนโยบายนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

แอพที่น่าสนใจกำลังจะตามมา

                    แม้ว่าตอนนี้นักพัฒนายังไม่สามารถเก็บเงินจากผู้โหลดแอพไปใช้ แต่ก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่พร้อมลงทุนในแอพที่น่าสนใจเพื่อสร้าง ecosystem เช่น Marc Andreessen สนใจเรื่องเกม live zombie game และแอพพลิเคชั่นวัดก้าวเดินต่างๆ, Bill Maris อยากเห็นแอพส่งข้อความสำหรับคนที่ป่วยเป็นอัมพาต และการนำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับนักวิทยาศาสตร์
มาตรการเข้ม

                   ใครที่ได้ครอบครอง Google Glass เวอร์ชั่น Explorer ล็อตแรกต้องระวังให้ดีเรื่อง terms of service ให้ดีเพราะถ้าทำผิดกฎเมื่อไหร่แว่นของคุณจะใช้งานไม่ได้ทันที เค้าตรวจสอบได้ง่ายๆ มากเลยล่ะเพราะการใช้งาน Google Glass ต้องลงทะเบียนและผูกกับบัญชีผู้ใช้ของกูเกิลซะก่อน ข้อห้ามนี้ครอบคลุม ห้ามขายต่อ, ให้ยืม, โอนสิทธิ์ครอบครองหรือให้อุปกรณ์แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถ้าตรวจพบว่าทำการเหล่านี้โดยปราศจากความยินยอมจากกูเกิล ทางกูเกิลมีสิทธิ์ระงับการทำงานของอุปกรณ์ และคนที่ครอบครองที่ไม่มีสิทธิ์ใช้งานก็จะไม่ได้รับสิทธิ์คืนเงิน, บริการหลังการขายและการรับประกันด้วย
ส่วนคนทั่วไปที่อยากได้แว่นคู่นี้ ทางกูเกิลวางแผนที่จะวางจำหน่ายปลายปีนี้โดยยังเผยรายละเอียดเรื่องราคาออกมา แต่คาดกันว่าน่าจะต่ำกว่าราคาขายของเวอร์ชั่น Explorer ที่ขายอยู่ที่ 1500$ หรือ 45,000 บาท

LINE คืออะไร ???



         LINE เป็นโปรแกรมแชทที่สามารถใช้งานได้ทั้งโทรศัพท์มือถือที่มีระบบปฏิบัติการ iOS, Android, Windows Phone ล่าสุดสามารถใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ PC และ Mac ได้แล้ว ด้วยความที่มีลูกเล่นมากมาย สามารถแชท ส่งรูป ส่งไอคอน ส่ง Sticker ตั้งค่าคุยกันเป็นกลุ่ม ฯลฯ ทำให้มีผู้ใช้งานแอพนี้เป็นจำนวนมาก


สิ่งที่โดดเด่นของ LINE
- สามารถเพิ่มกลุ่มสนทนาหรือเชิญเพื่อนได้ถึง 100 คน
- ออกแบบให้สามารถโทร.หากันฟรีแบบ 1 ต่อ 1
-พัฒนาคุณภาพของการโทร.ให้ดียิ่งขึ้น โดยตัดเสียงรบกวนและเสียงแทรกจากบริเวณรอบๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุย
- ส่งวิดีโอ และข้อความเสียงฟรี

การแอดเพื่อนของ LNE สามารถทำได้หลายแบบ เช่น
- Shake It โดยเข้าโปรแกรม LINE ทั้งเราและเพื่อนแล้วให้เขย่าโทรศัพท์ใกล้ๆ กัน เพียงแค่นี้เพื่อนก็จะถูกแอดเข้ามาในรายชื่อของเราแล้ว
- แอดเพื่อนจากรายชื่อที่อยู่ในโทรศัพท์ โดยที่สามารถกดเลือกได้เลย
- แอดเพื่อนด้วย QR code โดยเมื่อเข้าไปแล้วจะมีช่องที่เป็นกล้องให้เราอ่าน QR Code ของเพื่อน
- แอดเพื่อนโดยการค้นหาไอดีของเพื่อน
                 นอกจากนี้ LINE ยังมีโปรแกรมเสริม ทั้ง LINE Camera ที่ถ่ายภาพฟรี พร้อมกรอบกว่า 100 แบบ และแสตมป์แต่งภาพมากกว่า 600 แบบเก๋ๆ โดยจุดเด่นของแอพพลิเคชั่นนี้คือ dki ตกแต่งภาพหลากหลายรวมไปถึงการถ่ายภาพผ่านฟิลเตอร์ถึง 14 แบบ ที่ช่วยปรับแต่งภาพและรายละเอียดให้ภาพของคุณดูดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยพู่กันกว่า 156 ชนิด เพื่อให้ผู้ใช้ได้แต่งแต้มด้วยแสตมป์และเลือกแบบตัวอักษรต่างๆ พิมพ์ข้อความลงบนภาพตามสไตล์ของตัวเอง และสามารถแชร์ภาพได้โดยตรงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อีกด้วย
อีกทั้งโปรแกรมส่งการ์ดฟรีที่เรียกว่า LINE Card โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความส่วนบุคคล โดยเลือกจากภาพการ์ดต่างๆ ได้ฟรีตามความชอบ และสามารถเลือกภาพของตัวเองจากคลังภาพและแทรกไปในภาพการ์ด เพื่อแต่งเติมและส่งต่อไปถึงบุคคลพิเศษนั่นเอง
แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นการต่อยอดแบบไม่มีหวงของ LINE ก็คือการนำโปรแกรม LINE มาไว้ใน PC สำหรับวินโดวส์และ Mac รวมถึงเบราเซอร์สำหรับสมาร์ทแท็บเล็ต ที่ผู้ใช้ยังสามารถใช้รหัส LINE QR เพื่อเข้าสู่ระบบในเวอร์ชั่นพีซีได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนผ่านโปรแกรม LINE ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน รวมถึงบริการของโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

                      จากการเติบโตที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ แล้ว ถือว่า LINE ได้เปรียบมาก เพราะแค่ 257 วัน ก็มีผู้ใช้ถึง 20 ล้านคน และหลังจากนั้นอีก 6 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 35 ล้านคน จะเห็นได้ว่า LINE มีการเพิ่มขึ้นมากถึง 600 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่ามาแรงมากสำหรับโปรแกรม LINE นอกจากจะมีให้โหลดฟรีแล้ว ยังมีคุณสมบัติหลายอย่างให้เราได้เพลิดเพลินในการใช้ ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาเพื่อตอบสนองกับโลกออนไลน์ในปัจจุบัน ที่ไม่มุ่งหวังแต่รายได้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ในสมาร์ทโฟนของคนส่วนใหญ่ จะมีโปรแกรมนี้บรรจุอยู่แทบจะ 100%