โดยทั่วไปแล้วซอร์ฟแวร์จะใช้หน่วยความจำที่เรียกว่า RAM ในการทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าซอร์ฟแวร์ทุกตัวจะสามารถ ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือระบบจะมี RAM ให้ใช้มากพอตามความต้องการ
เมื่อท่านมีขนาดของ RAMน้อยและเมื่อระบบใช้งานจนหมดก็จะหันมานำเอา virtual memory ไปใช้เพื่อให้เพียงพอกับการทำงานของซอร์แวร์นั้นๆ ซึ่ง Virtual Memory นี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ในรูปของไฟล์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยที่แอพพลิเคชั่นและระบบจะมองเห็น Virtual memory เป็นหน่วยความจะปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะสามารถตั้งค่า ความจำเสมือน ให้มากแล้วการ ทำงานต่างๆจะเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจากการตั้งค่าให้กับความจำเสมือนต้องคำนึงถึงพื้ันที่การใช้งานของฮาร์ดดิสก์ของท่าน และระบบปฏิบัติการของท่านด้วย
อย่างเช่น
Win 98 ท่านสามารถตั้งค่าสุงสุดให้ได้ไม่เกิน 2.5 เท่าของหน่วยความจำ RAM ที่ท่านมีอยู่ แต่ถ้าเป็น Win2K หรือ Win XP ท่านสามารถตั้งค่าให้มากเท่าที่พื้นฮาร์ดดิสก์ของท่านจะอำนวย จึงเป็นการดีเมื่อท่านมีขนาด RAM น้อยแต่ท่านสามารถตั้งค่าของ ความจำเสมือนให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานของท่านได้
Virtual memory น่าจะเรียก “หน่วยความจำสำรอง” มากกว่า เนื่องจากเวลาที่คอมพิวเตอร์ใช้หน่วยความจำหลักที่มากับเครื่อง (RAM: Random Access Memory) ไปจนเกือบหมดแล้ว ระบบปฏิบัติการก็จะใช้วิธียืมพื้นที่บางส่วนของฮาร์ดดิสก์ มาใช้แทนหน่วยความจำที่ระบบต้องการ กรณีที่คอมพิวเตอร์มีความจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำเสมือนมากๆ จะทำให้ทั้งระบบทำงานได้ช้ามาก เพราะมันต้องคอยลบ และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์แทนหน่วยความจำหลัก แถมยังมีเสียงรบกวนเนื่องจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม หน่วยความจำเสมือนไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดี เนื่องจากระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่จะทำงานในระบบหลายงาน (multitasking) ซึ่งระบบจะทำงานโดยจับแอพพลิเคชันที่คุณกำลังใช้ไว้ใน RAM เพื่อให้ทำงานได้เร็ว ในขณะที่โยนแอพพลิเคชันที่คุณยังไม่ได้ใช้ขณะนั้นไว้บนฮาร์ดดิสก์ก่อนที่จะสลับมันมาลงหน่วยความจำหลัก (RAM) อีกทีหนึ่ง เมื่อคุณเรียกใช้โปรแกรมนั้นๆ ประเด็นก็คือ เมื่อคุณจำเป็นต้องรันโปรแกรมหลายตัว และต้องเรียกใช้งานกลับไปกลับมาบ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกเบื่อกับการรอคอยให้โปรแกรมแต่ละตัวสลับกันเข้าออกจากหน่วยความ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น